โรคกรดไหลย้อนเป็นโรคเด็กอนุบาล?

โรคกรดไหลย้อน" ถือเป็น "โรคเด็กอนุบาล" เป็นไรที่ไม่มีอันตรายใดๆ ตามหลักแล้วโรคนี้เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการใช้ริดของเรา และหากเราเข้าใจ ลด ละ เลิกพฤติกรรมที่ไม่ส่งผลดีต่อ ร่างกาย โรคกรดไหลย้อนที่เป็นอยู่ก็สามารถหายได้โดยไม่ต้องพึ่งยา

มีคนส่วนใหญ่ที่ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อน และยังคงใช้ยาลดกรดเพื่อรักษาโรคกรดไหลย้อน บอกเลยนะครับว่าเป็นการกระทำที่ผิด เพราะยาลดกรดจะเหมาะกับการใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารหรือกระเพาะอาหารที่เป็นแผล แต่การกินยาลดกรดจะยิ่งทำให้โรคกรดไหลย้อนแย่ขึ้นกว่าเดิม

เนื่องจากน้ำย่อยหรือกรดในกระเพาะอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับการย่อยอาหาร ถ้าเรากินยาลดกรด ตัวยาก็จะไปยับยั้งกรดไม่ให้ออกมาย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป เท่ากับพังครับ เมื่อเรากินยาลดกรดไปนาน ๆ ยิ่งทำให้กระเพาะอาหารของเราอ่อนแอลงเรื่อยๆเปรียบเสมือนกับการที่เราขับรถไปตลอดโดยไม่มีการหยุดพักเครื่องยนต์ก็จะเสื่อมอายุตามการใช้งาน ดังนั้น หากเราเข้าใจโรคกรดไหลย้อนแล้วจะทำให้การรักษาง่ายขึ้นมาก

นอกจากพฤติกรรม ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อนแล้ว ความเครียดก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นตัวแปรสำคัญในการกระตุ้นน้ำย่อยให้หลั่งออกมาไม่เป็นเวลา ถ้าเราสามารถควบคุมการหลั่งน้ำย่อยได้ นั่นคือหัวใจของการดูแลรักษาและบำบัดโรคกรดไหลย้อน เพราะพื้นฐานของผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนซึ่งรักษาเท่าไรก็ไม่หายสักที ส่วนใหญ่คนไข้ของผมที่อยู่ในเคสนี้คือ มีความเครียด ความกังวล ความฟุ้งซ่านอยู่ตลอด ทุกครั้งที่เรากลับไปพบคุณหมออ ก็จะได้แต่ยาเดิม ๆ ซ้ำๆ กินอย่างไรก็ไม่มีทางหาย หรืออาการที่เป็นจะหายไปในช่วงแรก แต่ก็จะวนกลับมาเป็นอีก และมีอาการหนัก ขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ

เนื่องจากโรคกรดไหลย้อนเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมของเราสาเหตุหลักเกิดจากการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ดังนั้น ถ้าวันนี้เราเข้าใจและสามารถลด ละ เลิกพฤติกรรมที่นำไปสู่การเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ก็เท่านั้นเอง

เมื่อกระเพาะอาหารดีขึ้น ระบบย่อยอาหารก็จะดีขึ้นตามมาจนเราสามารถกินอาหารได้ดีขึ้น ความเครียดจะลดลงเมื่อเราเข้าใจโรคเข้าใจร่างกาย ความคิดมากของเราก็ลดลง ส่งผลให้อาการบรรเทาลงการนอนหลับดีขึ้น เพราะถ้าเรามัวแต่เครียด เชื่อว่าวันยังค่ำเราก็นอนหลับไม่สนิท แล้วก็นอนหลับไม่ดี ทุกอย่างจะไม่ดีขึ้น

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเป็นกังวลก็คือ เมื่อเป็นโรคกระเพาะอาหารแล้วมักจะมีอาการท้องผูกร่วมด้วย ทำให้จัดการโรคได้ยากกว่าการเป็นโรคกระเพาะอาหารเพียงโรคเดียว เพราะกระเพาะอาหารกับลำไส้คือ พี่น้องกัน กระเพาะอาหารจะต้องดีก่อน ลำไส้ถึงจะดีด้วย แต่ถ้ากระเพาะอาหารไม่ดี ลำไส้ก็จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน ในทางกลับกัน ถ้ากระเพาะอาหารดี แต่ลำไส้แย่ เป็นเพราะพฤติกรรมที่ชอบ กินแต่เนื้อสัตว์ ผักผลไม้กินน้อย ส่งผลให้ลำไส้มีปัญหา เมื่อลำไส้มีปัญหาก็จะทำให้กระเพาะอาหารมีปัญหาตามไปด้วย จะเห็นได้ว่าอวัยวะทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์กัน แต่ถ้าลำไส้มีปัญหาแล้วจะรักษายากกว่ากระเพาะอาหาร

ดังนั้น การรักษาลำไส้จะใจร้อนไม่ได้เด็ดขาด ต้องใช้เวลาในการปรับ ยิ่งใจร้อน ยิ่งกดดัน ทำให้ลำไส้ยิ่งขี้เกียจ ยิ่งต่อต้าน ยิ่งไม่ทำงาน การทำงานของลำไส้คือจะมีการบีบตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อนำอาหารที่เรากินให้ค่อยๆ ไหลจากลำไส้เล็กส่วนต้น ไปลำไส้เล็ก ส่วนกลาง ไปลำไส้เล็กส่วนปลาย สุดท้ายไปเข้าที่ลำไส้ใหญ่ส่วนต้นแล้วก็บีบตัวจากลำไส้ใหญ่ที่เป็นอุจจาระให้ออกมาทางทวารหนัก

จะเห็นได้ว่า ลำไส้มีการบีบตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าเรามีความเครียด อารมณ์ไม่ดีของเราจะไปทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้ของเรานิ่งไม่เกิดการบีบตัวที่ดี ถ้าเรากินยากระตุ้นไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ที่ใส่สารกระตุ้นลำไส้ หรือมียาระบายเป็นส่วนประกอบ ผมขอบอกว่า ร้อยทั้งร้อย ลำไส้จะขี้เกียจและรักษาหายยากกว่าเดิม

ดังนั้น ถ้าเรามีอาการท้องผูก และรู้ว่าลำไส้ของเราขี้เกียจไม่ยอมทำงาน เราต้องใจเย็นๆ ผมขอแนะนำเทคนิคดีๆ คือ ให้ “ปรับ เพิ่ม เติม“

"ปรับ" คือ การปรับให้ลำไส้มีสภาวะความเป็นกรดอ่อนๆถามว่าทำไมต้องเป็นกรดอ่อน ๆ เพราะ "จุลินทรีย์ตัวดี" หรือ "โพรไบโอติก" (probiotic) เขาชอบครับ จุลินทรีย์ตัวดีจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาวะที่เป็นกรดอ่อน ๆ

"เพิ่ม" คือ การเสริมจุลินทรีย์ตัวดีเข้าไปเพื่อให้จุลินทรีย์ได้เข้าไปทำงานและช่วยรักษาสุขภาพลำไส้ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ และช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง

"เติม" คือ การเติมสารอาหารให้กับจุลินทรีย์ตัวดี เพื่อจะสามารถมีชีวิตอยู่ในลำไส้ของเราได้ และทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่


#ปรึกษาปัญหาสุขภาพฟรี #เภสัชกรเอ็กซ์ #GRD #จุกคอ #แสบร้อน #อาหารไม่ย่อย #หายใจไม่สะดวก #ดูแลปัญหากรดไหลย้อน #ขับลม #แก้ท้องอืด #กระตุ้นการย่อย